– blog นี้ ย้ายมาจาก blog เก่านะครับ –
และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางทริปนี้ จะว่าไปก็ยังไม่ใช่วันสุดท้ายจริงๆ เรียกว่าเป็นเที่ยววันสุดท้ายดีกว่า เพราะเราเดินทางกลับไทยเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น
โปรแกรมวันนี้คือเดินห้าง น้องชายแยกตัวออกไปต่างจังหวัด ไปดู Villa Savoye งานออกแบบของ Le Corbusier
ออกเดินทางจากที่พักย่าน Montmartre ปารีสในความคิดอาจจะดูหรูหรา คลาสสิค โรแมนติค
แต่จริงๆก็เป็นเหมือนกับเมืองใหญ่ทั่วไปที่มีมุม สกปรกรกรุงรัง แทรกตัวอยู่ในหลายๆจุด
แน่นอนถ้าจะไปเดินห้างในปารีสก็ต้องที่นี่ Galeries Lafayette ห้างดังประจำเมือง
คนแน่นทุกวัน คนไทย คนจีน อินเดีย เดินกันขวักไขว่ พนักงานคนไทย คนจีนกระจายตัวอยู่หลายร้านภายในห้าง
ด้านหน้าห้าง
ฝ้าแอบโทรมพอสมควร
ช่วงที่ไปเป็นคริสมาสต์พอดี บริเวณกลางห้างจึงมีการตกแต่งด้วยต้นคริสมาสต์
ไฟจะกระพริบๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ
ล่าสุด (มิถุนายน)ที่ไปมาอีกครั้ง ช่วงปกติก็จะไม่มีต้นคริสมาสต์ เป็นร้านค้าธรรมดามาเปิดเป็นบูธๆ
โดมด้านบมีลวดลายละเอียดสวยงามมาก
ไฟเปลี่ยนสี
Swarovski เป็นผู้จัดทำ
ตัวห้างจะแบ่งเป็นสามตึก คือ ตึกหลัก(ตึกโดม) ตึกผู้ชาย(Homme) และ ตึกของแต่งบ้าน(Maison)
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะไปตึกหลัก เพราะมีของแบรนด์เนมอยู่ เช่น Louis Vuitton,Chanel,Balenciaga และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งคนซื้อก็เอเชียทั้งนั้น (รวยจริงๆ) ข้อดีของการซื้อที่นี่ก็คือทำเรื่อง tax refund ง่าย แต่ก็คิวยาวมาก
หากมีเวลาการไปเดินตึก homme ที่อยู่ด้านหลังก็สนุกดีสำหรับคนที่ไม่ชอบของแบรนด์เนม เพราะจะมีส่วนที่เป็น Lafayette gourmet เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ขายของกินมากมาย ไวน์ เหล้า ขนม แนะนำให้ไปลองเดิน
display ตกแต่งภายในห้าง
Display ข้างตึกหลักเป็นของ LV ก็จะมีสินค้าด้วย แล้วก็มีตุ๊กตาขยับไปมา
เต้นกันเป็นเชียร์ลีดเดอร์
ป้ายไฟ Louis Vuitton
ตีกลอง
หมีตัวนี้มันจะโยกไปมาด้วย
ยกแข้งยกขา
แก๊งเพนกวิน
เดินมาด้านหลังจะเป็นตึก Homme
เริ่มบ่ายคล้อยๆ ก็ออกมาหารร้านข้าวกิน ตอนแรกเป็น 4sq เจอร้านที่อยู่ตรง Opera เป็นมิชลิน 2 ดาวก็รีบไป
ปรากฎว่าต้องจองมา อดเลย -_-
โรงโอเปร่า
ร้านข้าวจะอยู่ตรงฝั่งนี้ ชื่อร้าน L’Opéra
สรุปเปิดหาใหม่จนเจอร้านนี้ ดูดีเหมือนกัน ชื่อร้าน Select Haussmann
มีคนเยอะพอสมควร รอคิว 10 นาทีได้
ขนมปัง ฟรี
Escagotอีกมื้อ ร้านนี้ก็โอเค
Foie Gras เป็นแบบ paste เช่นเคย ขนมปังอร่อย
เบียร์ที่คุ้นชิน Hoegaarden
ต่างกับบ้านเราตรงที่เค้าจะใส่ lemon มาด้วย ทำให้รสมันจะออกสดชื่นๆหน่อย
ปลาราดซอส
bœuf bourguignon (beef bourguignon)จานนี้ประทับใจมาก เป็นเมนูที่อยากลองกินมานานเพราะได้ยินชื่อจากหนัง Julie & Julia รสของเนื้อมันจะใกล้เคียงเนื้อเปื่อยตุ๋นสไตล์ฮ่องกง กินกับข้าวอร่อยมาก ถ้าได้น้ำส้มพริกตำคงจะอร่อยเหาะ
สรุปก็เป็นอีกร้านที่ประทับใจ อยากจะกลับมากินอีกครั้ง
พอทานข้าวเสร็จก็มาเดินอีกห้างนึงต่อ เป็นห้างที่ติดอยู่กับ Galeries Lafayette แต่ชื่ออาจจะไม่ติดหูเท่า
นั่นก็คือ Printemps
สีดูโอเวอร์เกินจริงหน่อย(ตกแต่งมาในโปรแกรม) Printemps (แปรงตอง) นี่คือติดกับ Lafayette Homme เลย
ของที่ขายเก็บเป็นพวกแบรนด์เนมเช่นกัน LV ก็มี Gucci, Prada นอกจากนั้นพวกนาฬิกาอย่าง Panerai ที่นี่ก็มี
รวมถึงขนมมากาฮง ร้าน Ladurée ก็มีสาขาอยู่ที่ Printemps เช่นกัน
Display ของที่นี่ก็จัดเต็มที่ไม่แพ้กัน โดยเป็นของ Dior
ตุ๊กตาสวมหมวกสัตว์ เต้นรำ
เดินจนเย็นๆก็หาข้าวทาน มาลงที่ร้านชื่อ Le Seize Neuf ออกแนวบาร์+ร้านข้าว
อยู่ไม่ไกลจาก Lafayette มากนัก
Salmon เค้าจะนำไปนาบไฟให้ข้างนอกสุก แต่ตรงกลางยังดิบ แบบ tataki
เนื้อซอสเห็ด
สเต็ก
โดยรวมร้านนี้กลางๆ ไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่อร่อยมาก ทานเสร็จก็กลับที่พัก แพคของ
ตัดภาพเป็นวันรุ่งขึ้น
เราออกจากที่พักเช้าเพราะไฟลท์สายๆ แต่กังวลเรื่องการไปขอ tax refund เลยเผื่อเวลาไปซะเยอะ
ปรากฎว่าเทอมินัลที่เราไปไม่มีคนเลย น่าจะเพราะเป็นของ Air france ไม่ค่อยมีคนเอเชียบินเท่าไหร่
อ่านขั้นตอนการขอ tax refund ที่นี่
อาหารบนเครื่อง Air France ขากลับเสิร์ฟสองมื้อเช่นกัน (มื้อหลัก+รองท้องง่อยๆ)
มื้อหลัก
ข้าวกับมีทบอล(มั๊ง)
จานนี้อร่อยดี น่าจะเป็น couscous เปรี้ยวๆ ตัวเม็ดกรุบๆ เล็มๆ Smoked Salomn ไปด้วย
ขนม
ส่วนนี่เป็นมื้อเช้ารองท้องง่อยๆ
ระหว่างไฟลท์มีไอศกรีมไปขอกินได้ ประมาณ 12 ชั่วโมง ก็ถึงไทยช่วงเช้ามืดพอดี
เป็นอันจบทริป Budapest/Paris 2012 ของเรา
ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนสุดท้ายนี้
ถ้าข้อมูลตรงไหนผิดพลาดต้องขออภัยไว้ด้วย
ขอบคุณครับ
– blog นี้ ย้ายมาจาก blog เก่านะครับ –