แล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางทริปนี้ กำหนดการของวันนี้ก็คือขึ้น หอไอเฟล สัญลักษณ์สำคัญของกรุงปารีสและประเทศฝรั่งเศส เสร็จแล้วก็เดินทางไปชอปปิ้งที่ La Vallée Village outlet ขนาดใหญ่นอกตัวเมือง จากนั้นก็จะไปสนามบิน Charles de Gaulle เพื่อเดินทางกลับเมืองไทย
ชื่อของหอไอเฟล มาจาก กุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกผู้ออกแบบ สร้างเสร็จเมื่อปี 1889 มีความสูง 324 เมตร นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกในขณะนั้น และครองอันดับหนึ่งยาวนานถึง 41 ปี จนมาเสียตำแหน่งให้ตึกไครสเลอร์ที่นิวยอร์คในปี 1930 จำนวนผู้เยี่ยมชมตั้งแต่เปิดมามีมากกว่า 200 ล้านคนแล้ว นับเป็นสถานที่ที่มีคนมาเที่ยวชมต่อปีสูงที่สุดในโลก
สำหรับหอไอเฟลนั้นทริปที่แล้วเรามาแค่ถ่ายรูป ไม่ได้ขึ้นไปข้างบนข้าง มาคราวนี้โชคดีได้ขึ้นไปชมวิว ถ่ายรูปกรุงปารีสจากมุมสูง โดยตั๋วขึ้นชมน่าจะจองมาจากทางอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งถ้าไม่ได้จองมาจะต้องเข้าแถวประมาณ 45-60 นาที ลิฟต์ขึ้น 2 ต่อ โดยรอบแรกจะขึ้นจากขา ขึ้นเป็นเหมือนกระเช้าเอียงๆตามโครงของขา พอมาถึงก็จะขึ้นลิฟต์ปกติ ไปยังส่วนบนของหอ
(ข้อมูลจากวิกิพิเดีย)
เสร็จจากนี่เราก็แวะกินข้าวเที่ยวแล้วก็ไป La Vallée Village ซึ่งเราก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย ส่วนพี่ๆในทริปก็ได้ติดไม้ติดมือกันหลายคน มีอีกหนึ่งเรื่องลืมเล่าคือโรงแรมที่เราไปพัก Mercure Paris La Defense 5 นั้น เลวร้ายเลย
ขอให้เลี่ยงโรงแรมนี้โดยเด็ดขาด ห้องพอทน แต่ห้องกินข้าวเช้าห่วยแตกมาก เหมือนโรงอาหารโรงเรียน เข้าแถวกันยาวๆ และที่สำคัญที่สุดคือขโมยเยอะมาก ตอนแรกทริปนี้เป็นไปด้วยดี ไม่มีใครของหายเลย จนมาวันที่ 3 ในปารีสนี่ พี่คนนึงวางกระเป๋ากล้องไว้ที่โต๊ะข้าวแล้วเดินไปตักข้าว โดยกระเป๋าก็อยู่บนเก้าอี้ติดกับไกด์ที่มาด้วย กลับมาโดนขโมยไปแล้ว เหมือนกับคนที่ขโมยทำงานกันเป็นทีม คนแรกทำแกล้งทำแว่นตกแล้วมาถามไกด์ ดึงความสนใจไป คนที่สองก็มาหยิบกระเป๋าไปดื้อๆเลย ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีก็ออกจากโรงแรมไปแล้ว ทั้งที่ห้องกินข้าวนี่อยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม คุยกับเจ้าหน้า/ที่พนักงาน ทางโรงแรมก็ไม่รับผิดชอบ ใน foursquare มีคนเขียนด่าไว้เยอะมากๆ จริงๆที่ลิฟต์ของโรงแรมก็แปะเตือนไว้แล้ว แต่ใครมันจะไปนึกว่ามันเล่นกันง่ายๆอย่างงี้ ก็เป็นข้อควรระวัง ของมีค่าต้องติดตัวตลอดเวลาจริงๆ ทำให้ตอนที่เราไปหอไอเฟล พี่คนนี้ก็เลยไปสถานฑูต เพื่อออกพาสปอร์ตชั่วคราวมาครับ
พอมาถึงสนามบิน ปรากฎว่า เครื่องดีเลย์ เราเลยเดินแกว่วอยู่สนามบิน CDG อยู่นาน ทำให้เครื่องจาก Dubai กลับกรุงเทพ ก็ต้องเปลี่ยนไฟลท์ด้วย ทางสายการบิน Emirates ให้คูปองมาอาหารฟรีหนึ่งมื้อ เครื่องจากปารีสเป็น A380 ลำใหญ่สบาย เดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง พอมาถึงดูไบก็แวะกินข้าวได้แป๊บแล้วก็เดินทางกลับไทยอีกประมาณ 6 ชั่วโมง
เป็นอันจบทริป Europe 2013 นี้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาครับ เขียนนานมาก โดยเฉพาะช่วงสวิสและฝรั่งเศสนี่หลายเดือนกว่าจะเขียนเสร็จ (อู้ไปนาน) สามารถติดตามอ่านทุกตอนได้ที่ Europe2013 ขอบคุณครับ