วันที่ 10 ของทริปนี้ วันนี้เราออกมานอกเมือง มายังสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งของฝรั่งเศส นั่นก็คือ
พระราชวังแวร์ซาย หรือ Château de Versailles ในภาษาฝรั่งเศส พระราชวังแวร์ซาย อยู่ในเมืองแวร์ซาย
ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส โดยตัวเมืองอยู่ห่างจากใจกลางกรุงปารีสไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 17.1 กิโลเมตร เราเดินทางมาด้วยรถทัวร์ แต่ถ้าเดินทางมาเองจากใจกลางเมืองก็สามารถมาได้ทางรถไฟ
พระราชวังแวร์ซายเริ่มก่อสร้างในปี 1661 เสร็จในปี 1688 โดยแรกเริ่มในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 นั้นเป็นเพียง กระท่อมล่าสัตว์ขนาดไม่ใหญ่ แต่พอมาถึงสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงได้มาสร้างขึ้นเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นหินอ่อนสีขาว นอกจากตัววังแล้ว สวนของพระราชวังใหญ่ก็มีขนาดใหญ่มโหฬารเช่นกัน
(ตอนนี้รูปเยอะหน่อยนะครับ)
เมือง Versailles อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส
แดดแรงฟ้าใส ตรงหน้าประตูนี่มีคนดำมาขายของที่ระลึกซึ่งพูดภาษาไทยด้วย เจ็ดอันสิบ หกอันสิบ อะไรงี้ ฮา
ประตูทางเข้าชั้นแรก
เรามาถึงค่อนข้างเช้า เริ่มมีคิวมาแล้วแต่ยังไม่ยาวมาก ส่วนเราทางทัวร์จัดการเรื่องตั๋วมาเรียบร้อย ทำให้ใช้เวลาในการเข้าแถวไม่นาน
ถ้ามาเป็นกรุปทัวร์เหมือนจะได้เข้าเร็วกว่า
กรุปทัวร์เข้าทางด้านขวามือ
รั้วทอง
ตัดกับสีของฟ้าจัดๆดี
ประตูทอง
ประตูทอง
ประตูทอง
ประตูทอง
ประตูทอง
หินแกะสลัก
รอเข้าไป ไม่มีอะไรทำก็ถ่ายมันวนๆอยู่นั่น
สวยดี
สวยดี
ภายในยังไม่มีคนเข้าไปเลย ทุกคนทุกกรุปรอคิวอยู่
รั้วทอง
พอได้เข้ามาห้องแรกก็เจอเป็นงานศิลปะ
แปะไม้ให้อยู่ในไม้อีกที
ภายในอาคารก็จะมีรูปวาดเต็มไปหมด ไกด์ก็จะอธิบาย รูปและรายละเอียดเกี่ยวกับห้องต่างๆ รูปนี้คือ The Feast in the House of Simon the Pharisee
ที่เพดานแต่ละห้องก็จะมีรูปต่างกันไป ส่วนใหญ่รูปเหล่านี้จะได้รับการบูรณะแล้ว The Apotheosis of Hercules
เพดานของอีกห้อง
รูปแกะสลักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14รูปแกะสลักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่งตัวแบบโรมันเป็นจักรพรรดิ์ ด้วยความที่โรมันเคยยิ่งใหญ่ กษัตริย์ก็เลยสมมติตัวเองว่าเคยเป็นจักรพรรดิ์
อันนี้เพนท์ให้ดูเป็น สามมิติ
รูปแกะสลักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
Mars on his Chariot Pulled by Wolves
รูปวาดบ้างทีก็จะเป็นพระราชกรณียกิจ
หรือก็อาจจะเป็นตำนานเรื่องเล่าต่างๆ
รูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขี่ม้า
รูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
เทพนิยาย
เดินดูห้องนอน
นาฬิกางานละเอียดมาก
เพดาน
เพดาน
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
แบบนี้น่าจะเรียกนูนสูง
เทพต่างๆ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
เป็นห้องสำคัญห้องหนึ่ง ชื่อ ห้องกระจก หรือ Galerie des Glaces เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนามในเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2
จุดเด่นอย่างหนึ่งของห้องนี้ก็คือมีหน้าต่าง 17 บานมองไปเห็นสวนขนาดใหญ่หลังพระราชวัง
โคมไฟระย้าสวยงาม ห้องนี้เป็นห้องที่เราจำได้ห้องเดียวจากที่เคยมาตอนเด็กๆ มันดูอลังการณ์มากจริงๆ
โคมไฟก็ดูอลังการณ์
คนเยอะเลยห้องนี้
แสงที่เข้ามาจากภายนอกทำให้มันดูสว่างไสว
พอโดนแสงมันก็จะระยิบระยับ
บางห้องเพดานยังโล่งๆอย่างนี้
โผล่มาอีกห้องนอน
โคมไฟอีกสี
รูปวาดที่สมมติตัวเองเป็นจักรพรรดิ์โรมันเหมือนรูปแกะสลักข้างบน
กิ่งมะกอกซึ่งน่าจะหมายถึงสันติภาพ (อันนี้มั่วจำไม่ได้)
ห้องนี้เป็นห้องนอนของ Marie Antoinette ราชินีของโด่งด้ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16
ห้องรอเข้าพบ
โคมไฟสวยอีกแล้ว
เฟอร์นิเจอร์ต่างๆไกด์บอกว่าตอนปฏิวัติฝรังเศสได้ขายหมดแล้ว เพิ่งจะมีการทยอยซื้อกลับ/รับบริจาคจากลูกหลานของคนที่ซื้อไป ไม่รู้จริงรึเปล่า
หรือบางอันทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ ? หะหะ
ในรูปน่าจะเป็น หลุยส์ที่ 16
ต่อมาเป็นห้องอาหาร มีชุดจานชามของจริงให้ดูด้วย
พรมที่ผนังห้องอาหาร
เก้าอี้ให้คนรอตอนกิน ?
ในห้องนี้มีรูปของ Marie Antoinette และลูกๆ
บางเพดานตัวรูปมีการซ่อมแซมอยู่
แปะๆกระดาษกันเอาไว้แบบนี้
รูปวาดที่มีชื่อเสียงอีกรูปวาดโดย Jacques-Louis David เป็นรูปนโปเลียนหยิบมงกุฎขึ้นมาสวมเอง ซึ่งจริงๆต้องให้ Pope เป็นคนสวมให้
ในห้องเดียวกันมีรูป Battle of Aboukir เป็นรูปของนโปเลียนตอนไปรบ
The Distribution of the Eagle Standards โดย Jacques-Louis David เช่นกัน
จากห้องสุดท้ายเราลงมาข้างล่างก็เจอร้านมาการองชือดัง Laduree มาเปิดสาขาในนี้เลย
ถ่ายได้รูปนึงพนักงานก็บอกว่าห้ามถ่าย -_-
ออกมาข้างนอกคนเริ่มเยอะ
แดดก็แรงเช่นกัน
พานอรามาซักหนึ่งรูป (คลิกดูรูปใหญ่)
บริเวณสวนด้านหลัง
รู้สึกว่าตั๋วจะแยกกัน น่าจะต้องซื้อเพิ่ม
ออกมาจากพระราชวังแล้ว ที่หลังมีส่วนที่ยังไม่ได้ทาสี น่าจะทยอยๆรีโนเวท
บ่ายๆคนก็ยังเยอะอยู่ครับ