หลังจากทานข้าวที่ร้าน Ujazi เสร็จก็เข้าสู่ไฮไลท์ช่วงแรกของทริป NZ 2014 ในครั้งนี้ คือเริ่มตะลุยโรงไวน์ต่างๆ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เรามีความสุขมาก ก่อนหน้านี้เราไม่เคยทัวร์โรงไวน์เลย เคยแต่ไปโรงเหล้าและโรงเบียร์ เช่นที่ Dewar’s Whiskey Distillery หรือ Yamazaki Distillery ของ Suntory การมาเยือนโรงไวน์ในทริปนี้เลยทำให้เราได้เข้าใจกระบวนการขั้นตอนการผลิตแบบเห็นของจริง หลังจากที่อ่านมาในหนังสือ
เกริ่นเรื่องไวน์คร่าวๆ ออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นโปร หรือกูรูใดๆ เป็นเพียงคนที่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะขอเล่าตามที่พอรู้เพื่อให้ผู้ที่ไม่สันทัดอ่านตามได้เข้าใจขึ้นเล็กน้อย แต่อาจจะไม่ดีเทลมากมายนะครับ
ไวน์ New Zealand นับเป็นหนึ่งในไวน์โลกใหม่ ตัวอย่างไวน์โลกใหม่อื่นๆก็เช่น ออสเตรเลีย ชิลี อเมริกา แอฟริกาใต้ พูดง่ายๆก็คือนอกยุโรปนั่นเอง ถ้าเป็นไวน์โลกเก่าก็จะมี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เป็นต้น นอกจากสถานที่แล้ว กระบวนการผลิตของแต่ละที่ก็จะต่างกันไป สำหรับไวน์ New Zealand พันธุ์องุ่นที่มีชื่อเสียงก็คือ ไวน์ขาว Sauvignon Blanc ส่วนไวน์แดงจะมีพันธุ์ที่เด่นคือ Pinot Noir, Syrah และการเบลนด์หลายๆพันธุ์สไตล์ Bordeaux
สำหรับองุ่นแล้วพันธุ์เดียวกัน ปลูกคนละที่ก็รสชาติต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับทั้งดิน ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ แต่ละพันธุ์ก็จะเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ สภาพอากาศที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ไวน์นั้นนอกจากจะบอกพันธุ์แล้วก็จะบอกแหล่งปลูก (region) ด้วยว่ามาจากที่ใด ลองมาดูกันว่าNZ มีกี่ region และปลูกองุ่นพันธุ์อะไรกันบ้าง
แผนที่แสดง region ของไวน์ New Zealand (ขอบคุณรูปจากเว็บ nicks.com.au)
Region ที่มีชื่อเสียงก็คือ Central Otago, Canterbury, Marlborough, Martinborough และ Hawke’s Bay
โดยจุดที่เรากำลังจะไปวันนี้นั้นอยู่ใน region Hawke’s Bay ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะเหนือ องุ่นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงก็คือ Cabernet, Cabernet Franc, Merlot, Shiraz(Syrah) และ Pinot Noir ส่วนไวน์ขาวจะเป็นพันธุ์ Chardonnay
ตอนที่หาข้อมูลมาก็ทำให้ทราบว่าจากที่ Napier นี่จะมี Classic Wine Trail เป็นเส้นทางที่เราจะสามารถขับชิมไวน์แวะไร่องุ่นลงใต้ไปเรื่อยจนข้ามฝั่งไปจบที่เมือง Blenheim ด้านบนของเกาะใต้ โปรแกรมนี้เลยถูกจัดเข้ามาในทริปทันที
เกริ่นมาซักพัก ก็ถึงเวลาไปดูของจริง โรงไวน์โรงแรกที่เราจะไปเยี่ยมชมในทริปนี้คือ Church Road Winery ที่อยู่ด้านตะวันตกของเมือง Napier เป็นโรงไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดโรงหนึ่งของ NZ ก่อตั้งเมื่อปี 1897 เรียกว่ากว่า 100 ปีมาแล้ว ซึ่งตัวโรงไวน์ปัจจุบันก็ยังอยู่ในบริเวณเดิม ไม่ไกลจากที่ก่อตั้ง
ที่นี่มีครบทั้งทัวร์โรงไวน์ พาชมพิพิธภัณฑ์ ชิมไวน์ และขายไวน์ โดยทัวร์จะมีวันละ 2 รอบคือ 11 โมง กับ บ่าย 2 โมง ถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าโทรจองดีกว่าเพื่อความชัวร์
ด้านหน้าของโรงไวน์ ป้ายชัดเจนครับ
วันนี้เปิดให้เยี่ยมชมได้ครับ
ถ้าเราไม่ขับมาเองก็สามารถซื้อทัวร์จากในตัวเมืองได้ โดยทัวร์พวกนี้ก็จะพาไปทุกโรงดังๆ และรวมค่าชิมไวน์กับอาหารให้ด้วย
ตัวอย่างของโปรแกรมทัวร์โรงไวน์
ไป 4 โรง แล้วก็มีข้าวเที่ยงกับชีสให้ด้วย
มีโต๊ะ outdoor ในช่วง summer สามารถมานั่งจิบไวน์ได้เลย
บริเวณทางเข้า wine Cellar และร้านอาหาร
มีกลุ่มคุณลุงคุณป้ามาเทสติ้งอยู่ เราก็เข้าไปแจ้งความประสงค์ว่าจะขอเดินทัวร์โรงไวน์ โดยมีค่าใช้จ่ายคนละ 15 NZD
ระหว่างรอเวลารอบเดินทัวร์โรงไวน์ ก็เดินถ่ายรูปไวน์ที่มีขายเล่นไปก่อนครับ
พวกนี้จะแพงหน่อยเป็นตัวสูงสุดของ Church Road เรียกว่า ‘Grand Reserve’
‘Grand Reserve’ ราคาจะราวๆ 40 NZD ถ้าแพงกว่านี้ก็จะเป็นตัวพิเศษที่มีชื่อว่า ‘TOM’
องุ่นแต่ละพันธุ์ก็จะราคาต่างกันไป
Wine Tasting วันนี้ เป็นองุ่นพันธุ์ Marzemino และ Sauvignon Gris
มีห้องอาหารด้วย แต่ไม่ได้เปิดทุกวัน อาจจะปิดในบางช่วง ต้องดูจากในเว็บไซต์อีกทีครับ
พอถึงเวลา 14.00 พนักงานสาว 2 คนก็มารับแนะนำตัวและเริ่มพาทัวร์ วันนี้มีบ้านเรากรุ๊ปเดียวครับ ในรูปคือองุ่นกำลังถูกเอาขึ้นจากรถไปยังเครื่องบด
เครื่องบดองุ่น ตัวน้ำที่ได้ออกมาก็จะถูกส่งไปยังถังอีกส่วนหนึ่ง แนะนำว่าให้อ่าน ขั้นตอนการผลิตไวน์แบบคร่าวๆ เพื่อจะได้เข้าใจ ลำดับการทำงานครับ
แทงค์ในการหมักไวน์ ขั้นตอนแรกเป็นสแตนเลสครับ
การเคลื่อนย้ายน้ำองุ่นจะส่งผ่านท่อเอา
มาหมักต่อในถังไม้
เสร็จก็ไปใส่ถังไม้โอคเล็กๆ เมื่อได้ระยะเวลาที่กำลังก็จะนำมาผ่านวิธีการต่างและบรรจุใส่ขวดเพื่อออกวางจำหน่ายครับ
แทงค์ขนาดใหญ่ด้านนนอกอาคาร
เจ้าหน้าที่พาเราลอด เพื่อจะไปยังตึกเก่าแก่ของ Church Road
ด้านขวามือเป็นเนินเขา ซึ่งมีการปลูกองุ่นอยู่ด้วย
นี่หละครับไร่องุ่นบนไหล่เขา
พานอรามา
เดินต่อมาอีกนิดนึง
ก็จะเจอกับตึกเก่าดั้งเดิมของที่นี่ ตึกนี้เป็นโรงงานแห่งของ Church Road
สภาพก็เริ่มดูเก่าแก่มากแล้ว แต่ยังสะอาดสะอ้านอยู่
โดยในปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ในการผลิต แต่เป็นส่วนที่ยังใช้ในการบ่มหมักอยู่
เจ้าหน้าที่พาเข้าไปดูด้านใน
ถังไม้โอ๊ควางอยู่เป็นพรึ่ด
ถังพวกนี้ส่วนใหญ่จะมาจากฝรั่งเศส เป็นถังไม้โอ๊คทำมือ ราคาต่อใบหนึ่งค่อนข้างสูง
การบ่มน้ำไวน์ในถังจะช่วยเพิ่ม ทั้งความหอม ความนุ่มนวล ทำให้รสชาติดีขึ้น ไม่บาดคอ ยิ่งหมักนานก็จะยิ่งดี ทำให้ราคาไวน์สูงตามระยะเวลาในการหมักไปด้วย
มุมนี้เป็นมุมยอดนิยมครับ
ตีตราว่ายี่ห้อ Saury จากฝรั่งเศส
ออกมาด้านนอกอีกครั้ง เจ้าหน้าที่พาเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อลงไปด้านล่างของตึกนี้
ด้านล่างเป็นส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์เล่าความเป็นมาของ Church Road Winery โดยที่แต่เดิมนั้น ห้องใต้ดินนี่เป็นที่หมักบ่มน้ำองุ่น พอจะใช้ก็สูบขึ้นไป ผ่านท่อตรงมุมห้อง ปัจจุบันเอาปูนโบกไปหมดแล้วตามรูป
มีตู้เก็บไวน์ขวดเก่าแก่เอาไว้
ไม่น่าจะดื่มได้แล้วหละ
ภายในก็จะมีอุปกรณ์การผลิตไวน์แบบโบราณแสดงให้ดู
เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
ทั้งการปลูก และเก็บเกี่ยว
แผนที่ของ Church Road Winery
อันนี้เป็นความรู้ใหม่อีกอย่างของเรา ไอ้แผ่นนี้มันคืออะไรรู้ไหมครับ ?
มันจะคืออะไรสำหรับการผลิตไวน์หนอ
พอเป็นรูแบบนี้นึกออกรึยังครับ ใช่แล้วครับ มันคือ จุกคอร์ก ปิดขวดนั่นเอง ไม่เคยรู้ว่ามันจะเป็นเปลือกไม้แผ่นๆแบบนี้แล้วมันตัดเป็นกลมๆ
ตัดมาจากต้นมันแบบนี้เลย
แล้วก็มันตัดออกเป็นจุก อันนี้เป็นเครื่องแบบโบราณนะครับ
หุ่นจำลองแสดงขั้นตอนการผลิตไวน์ของ Church Road
อุปกรณ์สำหรับบดองุ่น
เครื่องบดอีกแบบหนึ่ง ใช้ในช่วง 1920-1930
คำอธิบายเรื่องการบดและคั้นน้ำองุ่น
หุ่นคนจำลองแสดงวิธีการใช้งานเครื่องบด
หุ่นจำลองแสดงการผลิตแชมเปญ หรือไวน์แบบมีฟองนั่นเอง
คำอธิบายการผลิตแชมเปญ
การผลิตถังบาร์เรลสำหรับใส่น้ำไวน์
คำอธิบาย
อุปกรณ์ต่างๆ
คำอธิบาย
อุปกรณ์ต่างๆในการกรองสิ่งที่ไม่ต้องการออก
คำอธิบาย
ดูดน้ำองุ่นมาใส่บ่อไว้
ทีมงานของ Church Road
ภาพมุมสูงแสดงพื้นที่ของ Church Road Winery
มาอีกห้องจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของไวน์
การขนส่งไวน์ของชาวกรีกโบราณ
ภาชนะเป็นดินเผาแบบนี้
มาอีกห้องเป็นส่วนที่เก้บไวน์ปีเก่าๆเอาไว้
ขวดนี้เป็น Cabernet Sauvignon ปี 70 และ 71
ขวดนี้ปี 69 เลย
ปี 72 ซึ่งขวดเหล่านี้ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่น่าจะทานได้แล้ว น่าจะกลายเป็นน้ำส้มสายชูหมดแล้ว
จบจากส่วนพิพิธภัณฑ์ เดินออกมาก็เป็นห้องเก็บถังไวน์ ซึ่งเป็นของปัจจุบัน เอามาทานได้จริง อยู่ในขั้นตอนการบ่มหมักอยู่
อากาศในส่วนนี้จะเย็นๆชื้นๆกว่าด้านนอก
พอออกมาด้านนอกคราวนี้ออกจากส่วนตึกเก่าแล้ว เป็นโรงหลังคาสูง
แปะบาร์โค้ดเอาไว้ด้วยเพื่อสะดวกในการตรวจสอบว่าเป็นองุ่นพันธุ์อะไร ปีไหน
เดินชมจนเรียบร้อยก็กลับมาที่อาคารด้านหน้า เพื่อทำการชิมไวน์ ซึ่งราคาค่าทัวร์รวมค่าชิมอยู่แล้ว สำหรับการชิมไวน์ (Wine Tasting) บางที่จะฟรีบางที่จะคิดเงิน แต่ส่วนมากถ้าซื้อกลับก็จะใช้ ค่าชิมเป็นส่วนลดในการซื้อได้ด้วย
ปกติมักจะเริ่มด้วยไวน์ขาวเพราะมีรสที่อ่อนกว่า
ระหว่างชิม เจ้าหน้าที่ก็จะเล่าอธิบายเกี่ยวกับไวน์ตัวนั้นๆให้ฟัง
ตัวไหนมีกลิ่นเป็นอย่างไร รสคล้ายอะไร เหมาะกับอาหารชนิดไหน
อันนี้เป็นรูปคุณแม่ผมเองครับ 😀
เปลี่ยนมาเป็นไวน์แดงบ้าง
รูปนี้ถ่ายขาดไปหน่อย แก้วไหนเราทานแล้วไม่ชอบ หรือไม่อยากดื่มจนหมดก็สามารถเทใส่ถังที่เค้าเตรียมมาได้เลย ไม่ถือเป็นการเสียมารยาทนะครับ
ชิมไปหกตัวได้ เริ่มพริ้ว
ชิมเสร็จถูกใจตัวไหนก็ซื้อกลับไปทาน หรือไปฝากเพื่อน
สำหรับราคานั้น มาซื้อถึงที่ไม่ได้แปลว่าจะได้ราคาถูกเป็นพิเศษ หลายๆตัวเราดูราคาเปรียบเทียบกับ supermarket กลายเป้นข้างนอกถูกกว่าที่โรงงานอีก ฉะนั้นต้องเช็คราคาดีๆ หรือซื้อตัวหายากจะดีกว่าครับ
ขวดนี้เป็นตัว Syrah ธรรมดา ไม่ใช่รุ่นพิเศษ
เรียกว่าเต็มอิ่มและได้ความรู้ใหม่ๆ ในการทำไวน์ รวมทั้งได้เห็นของจริงหลังจากเคยอ่านแต่ในหนังสือ แล้วก็ได้ชิมไวน์หลายตัวด้วย สำหรับที่ Church Road Winery นี้ ตัวที่เราชิมแล้วถูกใจก็จะเป็น Rosé และ Sauvignon Blanc พวกไวน์แดงไม่ค่อยโดนเท่าไหร่สำหรับโรงนี้ ใครเป็นคอไวน์ อยากดูการผลิตของจริงเป็นโรงที่น่ามาเดินทัวร์ครับ
Church Road Winery – Napier, Hawke’s Bay
เบอร์ : +64 6 844 2053
เปิด : Cellar Door – Summer : 10.00-17.00, Winter : 10.30-16.30
ร้านอาหาร – Summer : 11.00-15.00, Winter : 11.30-14.30
ปิดวันหยุด Public Holiday
เว็บไซต์
foursquare
ทัวร์ชมโรงไวน์และพิพิธภัณฑ์มีวันละ 2 รอบ 11.00 และ 14.00 ค่าชม 15 NZD รวมค่า Wine Tasting
แผนที่โรงไวน์ Church Road Winery