เช้าวันที่ 4 ของทริปเป็นช่วงเช้าที่โปรแกรมหลวมๆ คือปล่อยให้ไปเดินเล่นในเมืองกันตามสะดวกครับ บางคนไปตลาด บางไปชอปปิ้ง บางคนไปดูงานศิลปะ แล้วนัดกันตอนบ่ายๆ เพื่อจะออกเดินทาง ผมเดินตลาดที่ลานกลางเมือง ซื้อของฝากแล้วก็แวะทานราเม็ง (ฮ่าๆ) พอถึงเวลาก็มาพบกับชาวคณะที่โรงแรม
แล้วเราก็ออกเดินทางมีเป้าหมายคือ โรงเบียร์ St feuillien ซึ่งอยู่ห่างจาก Bruges ประมาณ 140 กิโลเมตร ระหว่างทางมีแวะที่ Strépy-Thieu ลิฟต์ยกเรือที่มีความสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก (เคยเป็นอันดับ 1 แต่โดนจีนแซง) ถ่ายรูปกันเสร็จเดินทางต่ออีกนิดเดียว ก็มาถึงโรง St Feuillien ที่เมือง Le Roeulx ครับ
พอเรามาถึงคุณปิแอร์หัวหน้าเซลส์ของโรงก็มาต้อนรับ ผมเองเคยพบกับเค้าแล้วหนึ่งครั้งที่ไทยตอนงาน Open House ของ Captain Barrel แกจะเป็นคนดีดๆ หน่อย ดู Alert ตลอดเวลา
ประวัติคร่าวๆ ของโรงผมขอคัดลอกที่เคยเขียนไว้เมื่อปีก่อนมา ดังนี้ครับ
St Feuillien อ่านออกเสียงได้ง่ายๆ ว่า ซานฟูเยน เป็นแบรนด์จากเบลเยี่ยมครับ เป็นโรงเก่าแก่ก่อตั้งเมื่อปี 1873 โดยสุภาพสตรีที่ชื่อ Stephanie Friart ปัจจุบันยังเป็น Family owned คือไม่มีกลุ่มทุนมาถือหุ้นเจ้าของคนปัจจุบันคือรุ่นที่ 4 ของตระกูล ซึ่งรุ่นที่ 5 ก็เข้ามาช่วยทำงานในโรงแล้วด้วยครับ เบียร์จากแบรนด์มีหลายตัวหลายสไตล์ ซึ่งแน่นอนว่าคาแรคเตอร์จะออกสไตล์เบลเยี่ยม
โดยที่นี่จะมีเบียร์แบบที่คลาสสิค สูตรแบบดั้งเดิม ทำแบบดั้งเดิมแบบนี้จะเป็น Abbey Beer คือเหมือน Trappist Beer แต่ปัจจุบัน ไม่ได้มีพระเป็นผู้ผลิตแล้วนั่นเองครับส่วนอีกแบบที่ St Feuillien ก็คือจะเป็นเบียร์สไตล์ใหม่ๆ ที่โรงคิดค้นขึ้น คือมีความเป็นเบลเยี่ยมแต่ก็ผสมผสานเทนนิคแบบเบียร์ในปัจจุบันเข้าไปด้วย อย่างเช่นมีการ Dry Hops เพิ่มเติมซึ่งเป็นวิธีในการทำเบียร์สมัยใหม่
คณะของเราเข้ามานั่งจิบที่ห้องรับรองใต้ดิน ดูค่อนข้างใหม่ครับได้ข้อมูลมาว่าเพิ่งทำเป็นห้องรับรองไม่นาน ก่อนหน้านี้เคยเป็นห้องเก็บแต่น้ำท่วมบ่อย เลยปรับปรุงใหม่ จิบก็เสร็จมีเจ้าหน้าที่อีกท่านมาบรรยายเล่าเรื่องประวัติต่างๆของตัวโรง จากนั้นก็พาพวกเราเข้าชมโรง โดยอนุญาตให้ถือแก้วไปได้ด้วย ก็เลยเป็น brewery tour ที่เมาๆ มึนๆ หน่อย

วงเวียนก่อนเข้าเมืองมีหม้อต้มเบียร์ตั้งต้อนรับทุกคนอยู่

ระหว่างทางมีป้ายของโรง St. Feuillien

ประตูทางเข้าโรงครับ

ด้านหน้ามีป้าย Belgian Family Brewers ติดอยู่ โดยมี 21 โรงในเบลเยี่ยมที่มีสัญลักษณ์นี้ ซึ่งแสดงถึงความเป็น independent ที่ยังเป็นกิจการของครอบครัว ไม่มีรายใหญ่มาซื้อหุ้นไป

พนักงานพาเดินมาที่ตึกแรก ซึ่งห้องรับรองอยู่ใต้ดินครับ

ต้นฮอปส์ที่ข้างๆ ตึก

บรรยากาศในห้องรับรอง

บรรยากาศในห้องรับรอง

ตรงกลางคือคุณปิแอร์หัวหน้าเซลส์ที่มาดูแลเรา

ด้านซ้ายมือเป็นบาร์ครับ ทีมงานกำลังเสิร์ฟเบียร์ให้พวกเรา

ตรงหัวมุมเป็นโซนขายของ มีเบียร์ทุกๆ ตัวของ St. Feuillien ขายอยู่ ตัวนี้เป็น Belgian Coast IPA

ตัว Grand Cru

ตัวอื่นๆ อีกเพียบ

ตัวนี้น่าจะเป็นเชอรี่ครับ สีสวยเชียว

ผมดื่มตัว Grisette ธรรมดา เป็น Witbier ค่อนข้างดราย ซ่า สดชื่น

กับแกล้มมีชีส

ไส้กรอกที่เหมือนหมูยอ

ถั่ว

แก้วต่อมาเป็น St. Feuillien Triple เป็นสไตล์ Abbey Tripel แอลกอฮอล์ 8.5% รสหวาน ออกมอลตี้ บอดี้กลางๆ มีรสขมนิดหน่อย โฟมเนียน

ตัวที่สาม Belgian Coast IPA ครับ ฮอปส์โทนลิ้นจี่ชัด ค่อนข้างขม ดราย มีรสหวานนิดๆกำลังดี กลืนแล้วมียางๆ หน่อย ขมติดลิ้น

กรึ่มๆ พอได้ที่ก็เดินทะลุช่องไปอีกห้องครับ

เป็นห้องที่เราจะมานั่งฟังประวัติและข้อมูลต่างๆ ของโรง

ไกด์เล่าเกี่ยวกับวัตถุดิบในการทำเบียร์

จากนั้นก็เริ่มเข้าไปชมโรงครับ โดยเริ่มที่โรงเก่า ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว

เครื่องบรรจุขวดแบบโบราณ

บันไดยังดูโบราณ

ด้านล่างของเครื่องบดมอลต์

ตัวอย่างมอลต์ของยี่ห้อ Weyermann

พอบดแล้วก็ไหลลงมายังหม้ออีกชั้นครับ

ตัวหม้อ Mashing

หม้อต้ม

เข้าประตูนี้ไปอีกฝั่งครับ

เป็นเครื่องใหม่ที่ใช้ในปัจจุบันกัน

บรรยากาศภายในห้องหมักครับ

ถังนี้กำลังหมักเซซง

ถังหมักเพียบๆ

แอร์ลอคปุดๆๆๆ

ถังหมัก

อีกห้อง เป็นส่วนที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์

หม้อต้มใช้คอมสั่ง

ทัวร์ไปจิบไปออกมาหน้าตาทุกคนมีความสุข ฮ่าๆ

เสร็จแล้วเรากลับมาที่ห้องรับรองอีกครั้ง เพื่อทานข้าวเย็นครับ

เริ่มมื้อด้วย St. Feuillien Grand Cru เป็นสไตล์ Belgian Strong Ale 9.5% กลิ่นหอม herbal กลิ่นแบบหอมหวาน รสก็หวาน คาร์บอเนชั่นสูง ค่อนข้างซ่าเลยครับ บอดี้หนา แอลกอฮอล์แรง

ขนมปังเล็กๆน่ารัก เสิร์ฟมาพร้อมเพสต์

ตัวขนมปังกรอบ เพสต์เป็นมะเขือเทศและมะกอก เปรี้ยวๆ มันๆ สดชื่นดีครับ

ขาเป็ดเสิร์ฟมาบนคูสคูส จานนี้ผมไม่ได้ทาน ขอถ่ายรูปขอสมาชิกท่านอื่นมาครับ

ที่ผมทานคือมีทโลฟเสิร์ฟมาพร้อมมันฝรั่งครับ

เนื้อเด้งเหมือนหมูสับ รสคล้ายๆ พวกแฮมอะไรงี้ ส่วนมันฝรั่งเนื้อนุ่ม ครีมมี่ ออกรสชีส เค็มมัน

อีกตัวที่ได้ชิมคือ Cuvée de Noël เป็นสไตล์ Belgian Strong Dark Ale แอลกอฮอล์ 9% รสคั่วนิด กลิ่นพวกอบเชย แบบขนมคริสมาสต์ หวาน แรงนิดๆ

ปิดท้ายด้วยขนม Chocolate lava เสิร์ฟมาร้อนๆ รสหวานกำลังดี ไม่ขมมาก ตรงขอบกรอบ ข้างในเหลวนุ่ม ราดด้วยซอสวานิลลา อร่อยครับ
จบทัวร์เสร็จก็กลับมายังห้องรับรอง แล้วทางโรงก็เลี้ยงอาหารเย็นและก็เปิดเบียร์ให้พวกเราได้ลองชิม อีกสองสามตัว เป็นอีกหนึ่งวันที่สนุกสนานมากๆ เสียงดังโช้งเช้งจนถึงตอนกลับ ก่อนกลับทางโรงยังได้แจกของที่ระลึกให้ทุกๆ คนเป็นเสื้อยืดด้วยครับ เสร็จแล้วชาวคณะก็ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง Brussel เพื่อเข้าที่พักในช่วงค่ำๆ ครับ
สำหรับเบียร์ St. Feuillien นั้นมีขายตามร้านเบียร์หลายๆ ร้าน ใครอยากลองเบียร์สไตล์คลาสสิคแบบเบลเยี่ยมๆ ลองหยิบมาลองชิมดูครับ