หลังมื้อกลางวันที่เราจับหอยใส่ท้องที่ร้าน Chez Leon ไปคนละ 1 หม้อ ก็แยกย้ายกันไปชอปปิ้งและพักผ่อนต่อ ก่อนจะกลับมารวมกันที่ Grand Place เพื่อเข้าร่วมงาน Belgian Beer Weekend หนึ่งในไฮไลต์ของทริป Road to Belgium ครั้งนี้ครับ
งานครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 20 แล้วครับ จัดในช่วงสุดสัปดาห์ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ของต้นเดือนกันยายน มีโรงเบียร์มาเข้าร่วมทั้งหมด 36 โรง รวมเบียร์ทั้งหมดประมาณ 400 กว่าตัว ยังไม่ต้องดื่มแค่ดูรายชื่อเบียร์ก็เมาแล้วครับ
โรงที่มาออกก็จะมีทั้งสดและขวด สไตล์เบียร์ค่อนข้างหลากหลาย ครบถ้วน ทั้งสายหวานแรง อย่าง Belgian Strong สายนุ่มอย่าง Witbier สายผลไม้ต่างๆ สายเปรี้ยวอมหวานอย่าง Flander Red Ale และแน่นอนว่าสายเปรี้ยวอย่าง Lambic ก็ต้องมา
ตัวงานเข้าฟรีแต่เบียร์ต้องซื้อ Token ครับ แต่เราโชคดีหน่อยได้เข้าก่อนและได้ Token จากสิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายของทาง Captain Barrel ก็คือนำToken ไปแลกเบียร์ พอเบียร์หมดก็นำกลับไปคืนแล้วก็จะได้ Token กลับมา ไปแลกบูธอื่นต่อได้ ขอขอบคุณทาง Captain Barrel มานะที่นี้อีกครั้งครับ (เมาฟรีลูกหมาป่า)
นอกจากเบียร์ที่เราไปแลกมาแล้ว หลายโรงก็จะนำเบียร์ตัวต่างๆ มาให้ลองชิมฟรี รวมถึงโรงที่สนิทสนมกับทาง Captain Barrel ก็บอกว่ามาที่บูธแล้วเดี๋ยวกดให้เลย
บริเวณที่จัดงานคือ Grand Place จัตุรัสใจกลางเมืองครับ
รายชื่อเบียร์ที่มีเสิร์ฟในงาน
บรรยากาศรอบๆ งาน
มีวงดนตรีเล่นสร้างบรรยากาศ
Token สำหรับแลกเบียร์ครับ
มาถึงเราก็เริ่มด้วยของโปรดก่อนเลยนั่นก็คือ Duchesse De Bourgogne
Lindemans อีหหนึ่งแบรนด์ดัง ที่จริงเค้ามีเบียร์หลายตัว แต่ตัวที่ขายในบ้านเราที่เห็นบ่อยๆ จะเป็นตัวผลไม้ๆ เป็นหลักครับ
Duvel อีกแบรนด์ที่คนไทยคุ้นตา
มีสดเป็นตัว Chouffe
บูธนี้รวมเบียร์ trappist หรือเบียร์พระทำเอาไว้หลายๆเจ้า
ฝั่งหัวมุมเป็น Boon โรง Lambic เจ้าดัง แบรนด์นี้ก็มีขายในบ้านเราแล้วเช่นกัน
ภายในบูธของ Boon
มีทั้งแทปเบียร์และแบบขวดครับ
Oude Geuze Boon และ Mariage Parfait สองตัวดังของแบรนด์
De Halve Maan จากเมือง Bruges โรงที่มีท่อเบียร์ใต้ดินยาว 2 ไมล์เพื่อส่งเบียร์ไปยังโรงงานบรรจุ แบรนด์นี้มีขายในไทยแล้วเช่นกัน
ตัวดังของโรงนี้ก็คือ Straffe Hendrik นั่นเองครับ
รายการเบียร์
กด Straffe Hendrik Heritage มาลองหนึ่งตัว เป็นสไตล์ Belgian Quad แอลกอฮอล์ 11% กลิ่น Oak ชัด แอลกอฮอล์แรง จิบไปนี่ร้อนๆ เผ็ดๆ เลยครับ มีความซ่านิดๆ ค่อนข้างหวาน
บรรยากาศหลัง 17.00 ที่เปิดให้ทุกคนได้เข้างาน คนแน่นมากครับ
รอบๆ งานตกแต่งด้วยดอกฮอปส์
บางคนก็เลยเอาดอกฮอปส์มาตกแต่งตัวเองอีกที
โรง Huyghe ที่ต้มเบียร์ช้างชมพู
ช้างชมพู Delirium Tremens ที่คุ้นเคย เป็นสไตล์ Belgian Strong Golden Ale ครับ 8.5% ค่อนข้าง Malty กลิ่นหอมหวาน มีกลิ่นผักชีนิด รสหวาน บอดี้กลาง-หนา ลื่นดี ค่อนข้างแรง
บรรยากาศภายในงาน
บูธ Brouwerij Het Anker แบรนด์ Goden Carolus
รายการเบียร์
ลองตัว Gouden Carolus Tripel ครับ
Omer Vander Ghinste อีกหนึ่งแบรนด์ที่ทาง Captain Barrel นำเข้าครับ
ตัวที่คุ้นเคยก็คือ Vander Ghinste และ Jacobins นั่นเอง
จัด Vander Ghinste Roodbruin มาหนึ่งแก้ว เป็นสไตล์ Flanders Oud Bruin เปรี้ยวหวานกำลังดี
ช่วงเย็นๆ พี่คนนี้จากทางโรง Van Steenberge (บูธอยู่ด้านหลังในรูป) ได้นำเบียร์มาให้พวกเราลองทุกตัวเลยครับ ชิมกันจนหัวทิ่ม
ตัวนี้น่าจะเป็น Gulden Draak 9000 Quadruple
บรรยากาศงานช่วงกลางคืนสวยงามมากๆ
ส่งท้ายกันด้วยภาพ Stadhuis van Brussel หรือ Brussels Town Hall สวยงามประทับใจมากๆ ครับ
โดยรวมบรรยากาศดีมากครับ คนเยอะหน่อย แต่สนุกสนานมีดนตรีบรรเลงครึกครื้น และวิวรอบๆ Grand Place นี่สวยงามเด็ดขาดจริงๆ ยิ่งพอฟ้ามืดแล้วเปิดไฟส่องตัวอาคาร ลมหนาวกำลังดี เรียกว่าเป็น Beer Festival ที่วิวสวยที่สุดที่ผมเคยไปมาก็ว่าได้ครับ
มีเรื่องห้องน้ำที่อาจจะลำบากนิดนึง คือพอดื่มไปเรื่อยๆ ก็เริ่มปวดฉี่ ฮ่าๆ ก็ใข้วิธีเจ้าที่ร้านอาหารรอบๆ Grand Place หรือผมเองก็เดินกลับมาเข้าที่โรงแรมเพราะไม่ไกลมากเท่าไหร่
หากสนใจจะไปงาน Belgian Beer Weekend สามารถดูได้ว่างานจะจัดวันที่เท่าไหร่ได้จากเพจนี้ โดยปกติจะจัดขึ้นช่วงต้องเดือนกันยายนของทุกปีครับ