เดินชมไปทั้งหมด 5 บ่อ ( Oniyama, Kamado และ Yama, Umi, Oniishibozu ) ได้เวลาพักทานข้าวก่อนครับ ต้วร้านอยู่เลยจากบ่อ Yama ขึ้นมานิดหน่อย เมนูไม่เยอะ แต่อร่อยดีครับ เป็น จัมปงกับ ดังโงะ
อิ่มแล้วเดินต่อไปยังบ่อ Shiraike บ่อนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่น้ำจะเป็นสีขาวเหมือนน้ำนม รอบๆบ่อมีตู้ปลาแสดงอยู่ด้วยครับ เสร็จจากบ่อนี้ ต้องนั่งบัสต่อไปเพราะว่า สองบ่อที่เหลือนั้นอยู่ไกล เดินกันเหนื่อยแน่นอน ขึ้นรถเอาสะดวกกว่าครับ
รถจอดที่หน้าบ่อ Chinoike บ่อนี้จะมีสีแดงเลยถูกเรียกว่าบ่อเลือด ที่มีสีแดงก็เนื่องจากดินโคลนบริเวณนี้เป็นสีแดงครับ จากนั้นก็เดินต่อไปยังบ่อสุดท้ายของวันนี้ชื่อว่า Tatsumaki ที่นี่ไม่เชิงเป็นบ่อแต่เป็นน้ำพุร้อนพุ่งๆ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Geyser เหมือนกับที่ New Zealand ที่ผมมีโอกาสไปเมื่อปีก่อนครับ (Lady Knox Geyser) ความเจ๋งของที่นี่คือไม่ต้องใส่อะไรลงไปเร่งให้มันพุ่ง มันจะพุ่งเองเป็นเวลาทุกๆวันครับ
หน้าร้านอาหารครับ
มีแบบนั่งเก้าอี้ กับนั่งพื้น
ลูกค้าแน่นๆ
สั่งเบียร์มาจิบก่อนครับ
ดังโงะครับ รสกลมกล่อมๆ ใส่หมูสไลซ์ๆ
อันนี้เหมือนกันแต่เป็นแบบเผ็ด รสคล้ายๆแกงส้ม ผักนิ่มดี
ของผมสั่งมาเป็นเซ็ตแบบนี้ครับ
ถ้าไม่อิ่มก็ยัดข้าวปั้นเพิ่ม
ตัวเส้นดังโงะ
หนาแบบนี้ อร่อยดีครับ หนึบๆ
เมนู
เมนู
เดินต่อมาจนถึงบ่อ Shiraike
เข้ามาปุ๊บเจอตู้ปลาก่อนเลย ตู้แรกเป็น อโรวาน่าครับ
ปลาช่อนอเมซอนหรืออะราไพม่านั่นเองครับ
ตัวบ่อ จริงๆ มันก็ไม่ได้ขาวมากเท่าไหร่ครับ
เป็นบ่อขนาดกลางๆ อยู่บ่อเดียวครับ
ดูเป็นสีขุ่นๆ
นั่งบัสมาลงด้านหน้าของบ่อ Chinoike ครับ
ซึ่งติดกับป้ายเป็นร้านเหล้าเลย
มีคราฟ์เบียร์ท้องถิ่นเพียบเลย ญี่ปุ่นเรียกว่า Jibiru (地ビール) ครับ
มีเป็นตัว brown ale และ weizen ครับ
ด้านหน้าของบ่อ Chinoike
เข้ามาจะเจอมาสคอตยักษ์ยืนทักทายอยู่ครับ
พี่ยักษ์เดินถ่ายรูปกับเด็กๆ
บ่อ Chinoike นี่ถือเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดแห่งนึงของญี่ปุ่นครับ
จากมุมด้านบนบ่อ
ตัวน้ำนั้นมีสีแดงจากดินรอบๆ บริเวณครับ พอสีแดงชาวบ้านเลยเอาไปย้อยผ้าด้วยก็มี
มาเที่ยวกันตั้งแต่ปี 1927 โน่นแหนะ
แผนที่แสดงบ่อน้ำพุร้อนต่างๆทั่วเมือง Beppu
มีที่แช่เท้าอีกเช่นกันครับ
มาถึงบ่อสุดท้าย Tatsumaki Jigoku ครับ
ที่นี่น้ำจะพุ่งเองเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ต้องใส่สบู่เหมือนที่ New Zealand ครับ
มีเวลาเป็นรอบๆ ครับ
จากที่นี่ก็นั่งแทกซี่กลับโรงแรม เป็นอีกวันที่ยาวนานเลยหละครับ