หลังจากที่ไปแวะโรง Alvinne และซุปเปอร์มาร์เก็ตเบียร์ Bierhalle Deconinck ก็ได้เวลาเดินทางไปยังโรงเบียร์แห่งที่สองของวันนี้ โรงนี้มีชื่อว่า “Brouwerij Verhaeghe” ที่เมือง Vichte ครับ
ถ้าบอกชื่อโรงอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่ถ้าเป็นเบียร์ชื่อ Duchesse de Bourgogne หรือเบียร์แม่หญิง พวกเราน่าจะคุ้นเคยมากกว่าใช่ไหมครับ
เมื่อเรามาถึงก็มีพนักงานมาต้อนรับอย่างดี จากนั้นก็แบ่งกลุ่มกันไปชมโรงเบียร์ โดยอีกกลุ่มก็นั่งรอที่ห้อง Tasting Room ซึ่งดัดแปลงมาจากโรงม้าในอดีต ระหว่างรอก็เปิดเบียร์ชิมและก็ฟังประวัติและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโรงนี้
ที่นี่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1875 ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตแฟลนเดอร์ตะวันตก (West Flanders) ก่อตั้งโดย Paul Verhaeghe ในอดีตเป็น Malterie ด้วย คือทำมอลต์เอง แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ต้มอย่างเดียว มอลต์ซื้อจากบริษัทอื่น (เป็นอย่างนี้เกือบทุกโรงเบียร์แล้ว) ปัจจุบันโรงดำเนินการโดยสามพี่น้องทายาทรุ่นที่ 4 มีคุณ Karl เป็น CEO คุณ Peter เป็น Brewer ควบคุมการผลิตและคุณ Mercedes น้องสาวเป็นคนดูแลเรื่องการเงิน ซึ่งที่นี่เป็น 1 ใน 21 จาก 200 กว่าโรงเบียร์ของเบลเยี่ยมที่ยังเป็นกิจการของครอบครัวหรือว่า family owned นั่นเอง
ตัวเบียร์ของ Verhaeghe เองมีอีกหลายตัวครับ แต่ตัวที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเบียร์เปรี้ยว Duchesse de Bourgogne สไตล์ Flanders Red Ale ที่มีกระบวนการผลิตสำคัญคือการบ่มในถังไม้โอ๊คที่ใช้บ่มไวน์แดง Bordeaux จากฝรั่งเศศ
หลังจากที่หมักเสร็จแล้วเป็นเวลาประมาณ 17-18 เดือนแล้วแต่สภาวะอากาศ ทำให้ที่นี่มีถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่ (foeder) จำนวนมาก นอกจากนี้อีกหนึ่งกระบวนการที่สำคัญก็คือการเบลนด์ระหว่างเบียร์ใหม่ (young beer) และเบียร์ที่บ่มมาแล้ว ทำให้ได้คาแรคเตอร์ เปรี้ยวและหวาน รวมถึงฟรุตตี้ อันเป็นเอกลักษณ์
หลังจากชมโรงเสร็จเราก็ยังได้พบและถ่ายรูปกับคุณ Karl เจ้าของโรงเบียร์ Verhaeghe แห่งนี้ จนตอนกลับแกยังมาโบกมือส่งพวกเราที่รถบัสเลยด้วยครับ
ออกจากโรงมา เจ้าหน้าที่ก็พามายังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลกันมากเพื่อรับประทานอาหารเย็น ซึ่งในมื้อนี้มีโอกาสได้ชิม Duchesse de Bourgogne ตัว Cherry ด้วยครับ
หลังมื้ออาหารชาวคณะก็เดินทางกลับที่พักในเมือง Bruges เป็นการจบโปรแกรมวันที่ 2 ของทริป Road to Belgium แต่จริงๆ ยังไม่จบดี เพราะค่ำๆ มีไปต่ออีกหนึ่งร้าน จะเป็นร้านอะไร ติดตามตอนหน้าครับ