ทริปอังกฤษเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านนั้น ผมมีสามจุดหมายหลักที่ตั้งใจไป อย่างแรกคืองาน London Craft Beer Festival อย่างที่สองคือการเดินทางไปชมฟุตบอลที่สนาม Old Trafford และอย่างสุดท้ายคือร้านนี้ ‘The Ledbury’
The Ledbury เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสผสมผสานสไตล์โมเดิร์นยูโรเปี้ยน โดยมีเชฟ Brett Graham เป็นหัวหน้าเชฟและเจ้าของร้าน ที่ร้านให้บริการมื้อกลางวันและมื้อเย็นทุกวัน มีเป็น Set Menu และ Tasting Menuโดยมื้อวันเย็นศุกร์เสาร์และอาทิตย์จะมีแต่ Tasting Menu เท่านั้นครับ
การจองร้านนี้ค่อนข้างยากนิดหน่อยครับ ผมใช้ opentable กดรีเฟรชทุกวันล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เพื่อรอให้มีโต๊ะว่าง กว่าจะสำเร็จก็ได้ลุ้นพอสมควร ในเงื่อนไขจะมีระบุไว้ด้วยว่าถ้ายกเลิกจองภายใน 48 ชั่วโมงของเวลาที่จอง จะโดนตัดบัตรเครดิต รวมถึงถ้าไม่โผล่ไปที่ร้านก็จะโดนตัดเช่นกันครับ
มาถึงวันที่เราจะเดินทางไปร้าน วันนั้นดันเป็นวันที่ฝนตกยาวข้ามคืนมาตั้งแต่เมื่อวานครับ ช่วงเช้าผมก็จิบกาแฟร้านใกล้บ้าน พอถึงเวลาก็ไปขึ้นรถไฟ แล้วก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายคือสถานีที่จะไปน้ำท่วม! ฝนก็ยังปรอยๆ ตลอดเวลา พอมาถึงกลางทางเจ้าหน้าที่ประจำสถานีก็เปิดประตูให้ออกทางพิเศษ เวลาก็จวนเจียนมากๆ กลัวจะไปไม่ทัน
สุดท้ายผมเรียก Uber มาแล้วก็ลุ้นอย่าให้รถติดมาก พี่คนขับก็ชวนคุยบอกไม่ต้องห่วงๆ ไปทันแน่ ระหว่างทางเราก็โทรไปแจ้งว่าอาจจะเลทนิดหน่อย สุดท้ายก็มาถึงร้านเลทไปราว 15 นาทีจากที่จองไว้ครับ
เข้ามาในร้านขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ ดูค่อนข้างหรูหราแบบเรียบๆ พนักงานมาพาไปนั่งที่โต๊ะ แนะนำตัว นำเมนูมาให้อ่าน บรรยากาศในร้านค่อนข้างเกร็งเล็กน้อยเหมือนกันครับ เพราะเงียบๆ แต่พอลูกค้าเริ่มเยอะก็มีเสียงคุยกัน ทำให้ดูผ่อนคลายลง
รถมาจากส่งเราที่ฝั่งตรงข้ามร้านครับ
ประตูทางเข้าร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
รายการอาหารชุด Tasting Menu ซึ่งผมสั่งเป็นชุดนี้ครับ
รายการอาหารชุด Lunch Set
รายการอาหารชุด Lunch Set
Amuse Bouche อย่างแรกมาเสิร์ฟ เป็นข้าวเกรียบกรอบๆ ทานกับครีมเปรี้ยวๆ ครับ
Amuse Bouche เมนูที่สองเป็นแป้งกรอบๆ ไส้ด้านในเย็นๆ น่าจะเป็นฟัวกราอะไรประมาณนี้ ออกขมนิดๆ
มื้อนี้ทานคู่กับไวน์แดงครับ
Amuse Bouche รายการสุดท้ายเป็นแป้งขอบกรอบ เนื้อหนึบๆ อุ่นๆ เคี้ยวแล้วได้รสควัน ไส้เข้าใจว่าเป็นเนื้อกวางครับ ทอปด้วยเยลลี่ผลไม้
เริ่มเข้าจานแรกของคอร์สด้วยเมนู The Chantilly of Oyster เป็นครีมหอยนางรมเสิร์ฟมาพร้อมกับปลา Sea Bream (กะพง) ด้านล่างมีผักกรุบๆ ปลาเนื้อนุ่ม มีเผ็ดวาซาบินิดหน่อย เป็นเมนูที่เย็นสดชื่นครับ
ตามมาด้วยขนมปัง ตรงขอบกรอบเป็นพวกเมล็ดธัญพืช ข้างในนุ่มอุ่น
เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยที่ดูซุยๆ ประหลาดดีครับ รสเค็มมันกำลังดี มีรสเปรี้ยวนิดๆ
จานต่อมาเป็นเมนู ‘White Beeroot’ เป็นบีทรูทสไลซ์บาง นุ่มๆ รสหวาน มีรสเค็มจากปลาไหลรมควันเค็มมัน หัวหอม ด้านบนเป็นผงกรอบๆ อร่อยมากครับ
รายการที่ 3 ‘Warm Pheasant’s Egg’ เมนูไข่ที่ไม่ธรรมดา โรยหน้ามาด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดำออสเตรเลีย และเนื้อแห้งบางๆ กรอบๆ และหัว Celeriac สไลซ์ เสิร์ฟมาอุ่นๆ รสครีมมี่ เค็มมัน ตัวไข่เหลวๆ มีรสฟอร์มิคนิดๆ อยากเอาขนมปังลงไปจิมทานด้วยเลยครับ จานนี้อร่อยมาก
จานต่อมาเป็นเมนูปลา ‘John Dory’ ถ้าเป็นญี่ปุ่นก็จะชื่อ Matodai เสิร์ฟมาพร้อมกับหัว Fennel และซอส Elderflower ชิ้นปลาสด เนื้อแน่น สุกกำลังดี หนังกรอบ รอบๆ เป็น ซอสครีมอร่อย ตัว Elderflower เย็นๆมินท์ๆ นึกถึงลูกอม Ricola
ต่อด้วย ‘Hen of the Woods’ ซึ่งจริงๆ มันคือเห็ดครับ รสเค็ม กลิ่นควันๆ ตรงที่เกรียมๆ นี่อร่อยเลย ตัวซอสออกเค็มมัน
แล้วก็มาถึงเมนูหลักของวันนี้ ‘Berkshire Muntjac’ ซึ่งคือสายพันธุ์ของกวางครับ
ในจานจะมีเนื้อมาสามคำ เป็นติดกระดูกหนึ่งชิ้น ฟิลเลต์หนึ่งชิ้น และเป็นเนื้อสับปั้นเป็นมีทบอลอีกหนึ่งชิ้นครับ รสกวางเข้มข้น นุ่ม สุกกำลังดี ตัวซอสเป็นบีทรูท ชิ้นที่ติดกระดูกออกควันหน่อยๆ มีมันแปะอยู่ อร่อยประทับใจเลย
จบอาหารคาวก็เริ่มของหวานด้วย เมนู Pre-Dessert ชื่อ ‘Meadowsweet Cream’
เป็นครีมรสวานิลลา และผลไม้แช่แข็งเย็นๆ รสเปรี้ยว
ทานพร้อมกับแป้งโดนัททอดอุ่น เข้ากันดีครับ
ตามมาด้วยเมนู ‘Brown Sugar Tart’ เนื้อครีมๆ หวาน ด้านบนกรอบๆ กินๆ ไปผมนึกถึงขนมหม้อแกงบ้านเรา ตรงฐานกรุบๆ ที่เสิร์ฟมาด้วยกันเป็นไอศครีมขิง หวานเย็นสดชื่น เข้ากันอีกเช่นเคย
ที่จริงในเมนูจะครบแล้วครับแต่พนักงานบอกว่ามีขนมหวานจานพิเศษให้ ซึ่งทำจากเบียร์ Guinness โดยก้อนข้างๆ เป็นชอคโกแลตมูสขอบกรอบๆ เนื้อข้างในหวานเนียนทานกับเชอรี่ข้างๆ ตัวไอศครีมขมคั่ว มีซ่านิดๆ แปลกดี เมนูนี้เหมือนว่าจะเสิร์ฟให้โต๊ะที่เป็นโอกาสพิเศษเช่น ครบรอบวันแต่งงาน วันเกิด แต่ดูๆ ก็เสิร์ฟเกือบทุกโต๊ะมั๊งครับ ฮ่าๆ
จบคอร์สไปแล้วก็มีขนมแท่งๆ ให้ทานคนละหนึ่งชิ้น รสเปรี้ยนหวาน กรอบๆ ไส้ด้านในเป็นครีมๆ
ก่อนจะปิดมื้อด้วยชอคโกแลตอีกคนละ 1 ลูก เป็นชอคโกแลตที่ไม่ค่อนหวาน ออกขมมากกว่าครับ
ถ้าต้องการทานชีสปิดมื้อก็สามารถสั่งเพิ่มได้ตกคนละ 12 ปอนด์ พนักงานจะเข็นรถมาให้เลือก
ซึ่งผมก็ดันบอกว่าไม่เอาครับ แต่พอมาเห็นหน้าตาชีสแต่ละชนิดแล้วน้ำลายไหลอยากจะเปลี่ยนใจเลย ฮ่าๆ น่าทานมากๆ
ออกจากร้านมาด้านหน้ามีถุงปุ๋ยให้เอากลับบ้านได้ ซึ่งทำมาจากพวกกระดูก ผัก และ วัตถุดิบอื่นๆ ที่เหลือจากการประกอบอาหาร นั่นเอง
ระยะเวลาทั้งหมดของมื้อราวๆ 3 ชั่วโมงครับ แต่ก็ไม่รู้สึกว่านานมากเท่าไหร่ ระหว่างมื้อพนักงานก็จะมาพูดคุยสอบถาม อาหารเป็นยังไงบ้าง มาเป็นครั้งแรกใช่หรือเปล่า ตอนหลังๆ ถามละเอียดหน่อย เช่น มาจากที่ไหน อยู่ที่ลอนดอนหรอ อะไรอย่างนี้ เป็นกันเองและสุภาพมากครับ ที่ประทับใจอีกอย่างก็คือจบแต่ละเมนู พนักงานจะเอาแปรงและที่รองมาปัดเศษอาหารให้
โดยรวมเป็นมื้อที่รู้สึกคุ้มค่ากับจองและการเดินทางมา ไม่ผิดหวังเลยครับ คู่ควรกับดาวมิชลิน 2 ดวงจริงๆ คือถ้ามีโอกาสนี่กลับไปซ้ำแน่นอนครับ ใครที่มีโปรแกรมไปเที่ยวลอนดอน ขอแนะนำให้หาเวลาเดินทางไปลองชิมร้าน The Ledbury ให้ได้เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน
The Ledbury Notting Hill ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เบอร์ : 020 7792 9090
เปิด : มื้อกลางวัน พุธ-อาทิตย์ 12.00-14.00 มื้อเย็น ทุกวัน 18.30-21.45
เว็บไซต์
foursquare